Evergreen Furniture
รูปแบบและการจัดการสามาถปรับเปลี่ยนได้ตามความพร้อมในปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น สถานะการณ์ บุคคลากร เวลา สถานที่ และงบประมาณ+นโยบาย
### **1. Key Partners (พันธมิตรทางธุรกิจ)**
– ผู้จัดหาวัตถุดิบ เช่น ไม้ยางพารา กาว สี วัสดุประกอบ
– Marketplace ที่ใช้เป็นช่องทางจำหน่าย (Shopee, Lazada ฯลฯ)
– บริษัทขนส่งที่ช่วยกระจายสินค้า
– พันธมิตรด้านเทคโนโลยี เช่น ผู้พัฒนาเว็บไซต์และระบบจัดการคำสั่งซื้อ
– นักออกแบบเฟอร์นิเจอร์และอินทีเรียดีไซเนอร์ (คล้ายกับ Key Opinion Leader – KOL)
– นักลงทุนที่สนใจธุรกิจเฟอร์นิเจอร์
### **2. Key Activities (กิจกรรมหลัก)**
– การผลิตและประกอบเฟอร์นิเจอร์
– การจัดหาวัตถุดิบจากไม้ยางพารา
– การออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่
– การทำการตลาดและขายผ่าน Marketplace และเว็บไซต์
– การวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเพื่อออกแบบสินค้าให้ตรงความต้องการ (เหมือนที่ Netflix วิเคราะห์ผู้ชม)
– การบริหารระบบโลจิสติกส์และขนส่ง
### **3. Key Resources (ทรัพยากรหลัก)**
– โรงงานผลิตใน จ.สงขลา
– วัตถุดิบไม้ยางพารา
– ทีมพนักงานกว่า 200 คน
– เครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิต
– แบรนด์ Evergreen Furniture
– ระบบข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเพื่อช่วยในการพัฒนาเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับตลาด
### **4. Value Proposition (คุณค่าที่ส่งมอบให้ลูกค้า)**
– เฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูงจากไม้ยางพารา
– ราคาคุ้มค่า เมื่อเทียบกับคุณภาพและความทนทาน
– ผลิตและประกอบได้เอง รองรับความต้องการจำนวนมาก
– มีสินค้าหลากหลาย ตอบโจทย์ทั้งบ้านพักและสำนักงาน
– ช่องทางการสั่งซื้อสะดวก ผ่านออนไลน์
– ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ตามพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า (เหมือนระบบ Recommendation ของ Netflix)
– อาจมี Subscription Model เช่น บริการเช่าเฟอร์นิเจอร์รายเดือนสำหรับออฟฟิศหรือคอนโด
### **5. Customer Relationship (การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า)**
– บริการลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์และ Call Center
– ระบบรีวิวและการให้คะแนนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
– โปรแกรมสะสมแต้ม หรือโปรโมชั่นส่วนลดสำหรับลูกค้าเก่า
– การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์
– ระบบแนะนำสินค้าอัจฉริยะผ่าน AI หรือ Data Analytics (เหมือน Netflix แนะนำคอนเทนต์)
### **6. Channels (ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า)**
– เว็บไซต์ของบริษัท ([www.evergreenfurniture.net](http://www.evergreenfurniture.net))
– Marketplace (Shopee, Lazada ฯลฯ)
– ร้านค้าปลีกหรือตัวแทนจำหน่าย (ถ้ามี)
– โซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram, TikTok)
– ช่องทางใหม่ เช่น Subscription Model หรือบริการเช่าเฟอร์นิเจอร์รายเดือน
### **7. Customer Segments (กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย)**
– ลูกค้าทั่วไปที่ต้องการเฟอร์นิเจอร์คุณภาพดี
– เจ้าของบ้านหรือคอนโดที่ต้องการตกแต่ง
– บริษัทที่ต้องการเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน
– โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สั่งซื้อจำนวนมาก
– ลูกค้ารายบุคคลที่มีพฤติกรรมชอบเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์บ่อย (อาจเหมาะกับโมเดลเช่าใช้เฟอร์นิเจอร์)
### **8. Cost Structure (โครงสร้างต้นทุน)**
– ค่าวัตถุดิบ (ไม้ยางพารา, สี, อุปกรณ์เสริม)
– ค่าขนส่งและโลจิสติกส์
– ค่าแรงพนักงาน
– ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและโฆษณา
– ค่าเทคโนโลยี เช่น การดูแลเว็บไซต์และระบบขายออนไลน์
– ต้นทุนพัฒนา Data Analytics สำหรับวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
### **9. Revenue Streams (แหล่งรายได้)**
– รายได้จากการขายปลีกผ่าน Marketplace
– รายได้จากการขายผ่านเว็บไซต์
– รายได้จากออเดอร์จำนวนมากจากโครงการอสังหาริมทรัพย์หรือองค์กร
– รายได้จากการให้บริการเสริม เช่น บริการประกอบและติดตั้ง
– รายได้จาก Subscription Model หรือบริการเช่าเฟอร์นิเจอร์
Subscription Model กับ Evergreen Furniture
Subscription Model หรือโมเดลสมัครสมาชิก เป็นแนวทางที่หลายธุรกิจใช้ในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแบรนด์ที่ขายสินค้าและบริการที่ลูกค้าอาจต้องใช้เป็นประจำ ในกรณีของ Evergreen Furniture เราสามารถนำโมเดลนี้มาใช้ได้หลายแนวทาง เช่น:
1. บริการเช่าเฟอร์นิเจอร์รายเดือน (Furniture-as-a-Service)
สำหรับลูกค้าบ้านหรือคอนโด
ให้เช่าเฟอร์นิเจอร์แบบครบชุด เช่น แพ็กเกจตกแต่งห้องนอน/ห้องนั่งเล่น
มีแผนราคาแตกต่างกัน เช่น Basic / Standard / Premium ขึ้นอยู่กับจำนวนและคุณภาพของเฟอร์นิเจอร์ที่เลือก
เปลี่ยนหรืออัปเกรดเฟอร์นิเจอร์ได้ทุก 6-12 เดือน
สำหรับลูกค้าองค์กรและสำนักงาน
ให้เช่าโต๊ะทำงาน เก้าอี้สำนักงาน ชั้นวางของ เป็นรายเดือน
มีบริการเปลี่ยนหรืออัปเกรดเฟอร์นิเจอร์ตามความต้องการ
เหมาะสำหรับบริษัทที่ต้องการลดต้นทุนการซื้อเฟอร์นิเจอร์ในคราวเดียว
2. Subscription Box สำหรับของตกแต่งบ้าน
ลูกค้าสมัครสมาชิกรายเดือน แล้วได้รับของตกแต่งบ้าน เช่น โคมไฟ หมอนอิง พรม ชั้นวางของเล็ก ๆ ที่เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ของพวกเขา
ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า เพื่อเลือกสินค้าที่เหมาะสมส่งให้ทุกเดือน
3. บริการเปลี่ยนหรือรีเฟรชเฟอร์นิเจอร์
เหมาะสำหรับคนที่ชอบเปลี่ยนบรรยากาศบ้านบ่อย ๆ เช่น บริการ เปลี่ยนสีเฟอร์นิเจอร์ หรือเปลี่ยนวัสดุหุ้มเบาะ ทุก 6 เดือน
สมัครสมาชิกรายปี แล้วสามารถใช้บริการ ซ่อมแซมหรือรีโนเวทเฟอร์นิเจอร์ ได้ในราคาพิเศษ
4. บริการซ่อมบำรุงและดูแลเฟอร์นิเจอร์ (Furniture Maintenance Plan)
ลูกค้าสามารถสมัครแพ็กเกจรายปีเพื่อรับบริการ ดูแลรักษาและซ่อมบำรุง เช่น เคลือบกันน้ำ ขัดเงา หรือซ่อมแซมชิ้นส่วน
สามารถทำเป็นแพ็กเกจเสริมให้กับลูกค้าที่ซื้อเฟอร์นิเจอร์
5. Exclusive Membership Program
สมัครสมาชิก Evergreen Club เพื่อรับสิทธิพิเศษ เช่น ส่วนลดพิเศษ, จัดส่งฟรี, โปรโมชั่นก่อนใคร
รับคูปองเงินคืนทุกครั้งที่ซื้อสินค้า
ตัวอย่างราคาสำหรับ Subscription Model
ประเภทบริการ ราคา (บาท/เดือน) สิทธิพิเศษ
เช่าเฟอร์นิเจอร์บ้าน (Basic) 1,500 โต๊ะ + เก้าอี้ + ชั้นวางของ
เช่าเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน 2,500 โต๊ะทำงาน + เก้าอี้ออฟฟิศ
Subscription Box 999 ของตกแต่งบ้านทุกเดือน
บริการซ่อมบำรุง 1,200 เคลือบกันน้ำ + ซ่อมแซม
Evergreen Club 500 ส่วนลด + จัดส่งฟรี
ข้อดีของ Subscription Model
✅ รายได้ต่อเนื่อง – ไม่ต้องรอการสั่งซื้อแบบครั้งเดียว
✅ สร้างความภักดีของลูกค้า – ลูกค้าจะกลับมาใช้บริการเรื่อย ๆ
✅ เพิ่มโอกาส Upsell และ Cross-sell – สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการเพิ่มเติม
✅ ลดภาระต้นทุนของลูกค้า – ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์
สรุป:
Subscription Model เป็นกลยุทธ์ที่สามารถช่วยให้ Evergreen Furniture มีรายได้ที่ต่อเนื่องและขยายฐานลูกค้าได้ในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่ม คอนโด สำนักงาน และคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการใช้เฟอร์นิเจอร์ คิดว่าถ้าเรานำไอเดียนี้ไปลองทำ ในบางส่วนก่อน เช่น เช่าเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน หรือ Subscription Box ก็น่าจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วขึ้น
1.) Facebook (Priority สูงสุด) – เข้าถึงลูกค้าได้เร็ว และง่ายที่สุด
✅ ทำไมต้อง Facebook?
คนไทยนิยมใช้มากที่สุด 📊
กลุ่มเป้าหมายของ Evergreen Furniture (เจ้าของบ้าน, คอนโด, ออฟฟิศ, โครงการอสังหาฯ) มีอยู่บน Facebook
ยิงโฆษณาเจาะกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ (อายุ, ความสนใจ, รายได้ ฯลฯ)
มี Marketplace ที่สามารถขายเฟอร์นิเจอร์ได้โดยตรง
✅ กลยุทธ์ที่ควรใช้:
ยิงโฆษณา Facebook Ads (Target กลุ่มลูกค้าที่สนใจแต่งบ้าน, เฟอร์นิเจอร์, อสังหาฯ)
โพสต์ Content ที่น่าสนใจ เช่น รีวิวลูกค้า, ไอเดียแต่งบ้าน, การใช้งานจริง
Live สดขายสินค้า หรือรีวิวสินค้ารายสัปดาห์
สร้างกลุ่ม Facebook (Community) ให้คนรักเฟอร์นิเจอร์มาแชร์ไอเดีย
2.) TikTok (Priority รองลงมา) – ไวรัลเร็ว ดึงดูดคนรุ่นใหม่
✅ ทำไมต้อง TikTok?
แพลตฟอร์มที่ ไวรัลง่ายสุดในไทย 📈
กลุ่มเป้าหมายอายุ 25-45 ปี ชอบดูคลิปรีวิวสินค้าสั้นๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ
คนที่ดู TikTok มักจะตัดสินใจซื้อไว
✅ กลยุทธ์ที่ควรใช้:
ทำคลิปสั้น 15-30 วิ รีวิวเฟอร์นิเจอร์ ตั้งแต่ Before → After
ใช้เสียงไวรัล + Hashtag Trend เช่น #แต่งห้องสวย #เฟอร์นิเจอร์ไม้
Collab กับ Influencer ให้มาช่วยโปรโมตสินค้า
3.) Instagram (Priority รองลงมา) – สร้างภาพลักษณ์พรีเมียม
✅ ทำไมต้อง Instagram?
คนใช้ IG สนใจ ดีไซน์สวยงาม และการตกแต่งบ้าน
แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลก เช่น IKEA, Muji ใช้ IG สร้าง Branding
มีระบบ Instagram Shopping ที่ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ง่าย
✅ กลยุทธ์ที่ควรใช้:
โพสต์ภาพสินค้าสวยๆ และไอเดียแต่งบ้าน
ใช้ Instagram Reels (คล้าย TikTok) โปรโมตสินค้า
ทำ Stories Poll & Q&A สร้าง Engagement
สรุป: แพลตฟอร์มไหนควรเริ่มก่อน?
1️⃣ Facebook → เน้นโฆษณา + Content + Live ขายของ
2️⃣ TikTok → ไวรัลเร็ว + รีวิวสั้น + Influencer
3️⃣ Instagram → Branding สร้างภาพลักษณ์พรีเมียม
💡 แนะนำให้เริ่มจาก Facebook ก่อน เพราะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ไวสุด จากนั้นต่อด้วย TikTok และ Instagram เพื่อเสริมพลังให้แบรนด์!
Admin -พร้อม
Budget -พร้อม ก็ลุยได้เลย
วางแผนทำ Content รายเดือน หรือ Ads Strategy 😊
** กระโดดเข้าไปใน Market place LZ ,SP หรืออื่นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป (งบประมาณสำคัญที่สุด ควรตั้งเป็นงบการตลาด)
Key Pain Points
Retail disruption
Brick-and-mortar retailers struggle in the face of e-commerce's growth and shifting consumer habits. Fashion brands must adapt by going online, creating engaging omnichannel experiences, and innovating to attract customers.
Counterfeiting
The fashion industry is plagued by counterfeiting, copyright infringement, and intellectual property theft. Protecting original designs and trademarks is crucial, but enforcement can be difficult in a global marketplace.
Changing consumer behavior
Consumer preferences are rapidly changing due to sustainability, social media, and personalization demands. Fashion brands must adapt with sustainable options, digital innovation, and personalized experiences.